วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2553

ดอกกุหลาบ

กุหลาบ เป็นไม้ตัดดอกที่มีการปลูกเป็นการค้ากันแพร่หลายทั่วโลกมานานแล้ว กุหลาบเป็นไม้ตัดดอกที่มีการซื้อขาย เป็นอันดับหนึ่งในตลาดประมูลอัลสเมีย ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นตลาดประมูลไม้ดอก ที่ใหญ่ที่สุดของโลก เมื่อ พ.ศ. 2542 มีการซื้อขายถึง 1,672 ล้านดอก และมักจะมียอดขายสูงสุดในประเทศต่าง ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับไม้ดอกชนิดอื่น ๆ โดยประเทศที่ผลิตกุหลาบรายใหญ่ของโลกได้แก่ อิตาลี เนเธอร์แลนด์สเปน สหรัฐอเมริกา โคลัมเบีย เอกวาดอร์ อิสราเอล เยอรมนี เคนยา ซิมบับเว เบลเยียม ฝรั่งเศส เม็กซิโกแทนซาเนีย และมาลาวี เป็นต้น

ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกกุหลาบตัดดอกประมาณ 5,500 ไร่ กระจายอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศ แหล่งปลูกที่สำคัญได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ตาก นครปฐม สมุทรสาคร ราชบุรี และกาญจนบุรี มีการขยายตัวของพื้นที่มากที่สุดใน อำเภอพบพระ จังหวัดตาก ซึ่งปัจจุบันประมาณว่ามีพื้นที่การผลิตถึง 3,000 ไร่ เนื่องจาก อ.พบพระ มีสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสม พื้นที่ไม่สูงชัน และค่าจ้างแรงงานต่ำ (แรงงานต่างชาติ) การผลิตกุหลาบในประเทศไทยอาจแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะคือ การผลิตกุหลาบในเชิงปริมาณ และการผลิตกุหลาบเชิงคุณภาพ การผลิตกุหลาบเชิงปริมาณ หมายถึงการปลูกกุหลาบในพื้นที่ขนาดใหญ่ หรือปลูกในพื้นที่ราบ ซึ่งจะให้ผลผลิตมีปริมาณมาก แต่ผลผลิตไม่ได้คุณภาพ เช่น ดอกและก้านมีขนาดเล็ก มีตำหนิจากโรคและแมลงการขนส่ง อายุการปักแจกันสั้น ทำให้ราคาต่ำ การผลิตชนิดนี้ต้องอาศัยการผลิตในปริมาณมากเพื่อให้เกษตรกรอยู่ได้ ส่วนการผลิตกุหลาบในเชิงคุณภาพ นิยมปลูกในเขตภาคเหนือ และบนที่สูง โดยปลูกกุหลาบภายใต้โรงเรือนพลาสติก ในพื้นที่จำกัด มีการจัดการการผลิตและการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยวที่ดี ใช้แรงงานที่ ชำนาญ ทำให้กุหลาบที่ได้มีคุณภาพดี และปักแจกันได้นาน ตลาดของกุหลาบคุณภาพปานกลางถึงต่ำ (ตลาดล่าง) ในปัจจุบันถึงขั้นอิ่มตัว เกษตรกรขายได้ราคาต่ำมาก ส่วนตลาดของกุหลาบที่มีคุณภาพสูง (ตลาดบน) ผลผลิตในประเทศยังไม่เพียงพอ และขาดความต่อเนื่อง ทำให้ยังต้องนำเข้าดอกกุหลาบจากต่างประเทศ เช่น เนเธอร์แลนด์ และมาเลเซีย เป็นต้น

ดอกทิวลิป

ที่มาของชื่อ แม้ว่าทิวลิปจะเป็นดอกไม้ที่ทำให้นึกถึงฮอลแลนด์ แต่ทั้งดอกไม้และชื่อมีที่มาจากจักรวรรดิเปอร์เชีย ทิวลิปหรือ “lale” (จากเปอร์เชีย لاله, “lâleh”) เช่นเดียวกับที่เรียกกันในตุรกี เป็นดอกไม้ท้องถิ่นของตุรกี, อิหร่าน, อัฟกานิสถาน และบางส่วนของเอเชียกลาง แม้ว่าจะไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นผู้นำทิวลิปเข้ามาทางตะวันตกเฉียงเหนือของยุโรป แต่ที่สำคัญคือตุรกีเป็นผู้ทำให้ทิวลิปมีชื่อเสียงที่นั่น เรื่องที่เป็นที่ยอมรับกันก็คือ Oghier Ghislain de Busbecqไปเป็นราชทูตของสมเด็จพระจักรพรรดิเฟอร์ดินานด์ที่ 1 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ในราชสำนักของสุลต่านสุลัยมานมหาราชแห่งจักรวรรดิออตโตมันในปี ค.ศ. 1554 Busbecq บรรยายในจดหมายถึงดอกไม้ต่างๆ ที่เห็นที่รวมทั้งนาร์ซิสซัส ดอกไฮยาซินธ์ และทิวลิปที่ดูเหมือนจะบานในฤดูหนาวที่ดูเหมือนผิดฤดู (ดู Busbecq, qtd. in Blunt, 7) ในวรรณคดีเปอร์เชียทั้งสมัยโบราณและสมัยใหม่ต่างก็ให้ความสนใจกับดอกไม้ชนิด นี้

คำว่า “tulip” ที่ในภาษาอังกฤษสมัยแรกเขียนเป็น “tulipa” หรือ “tulipant” เข้ามาในภาษาอังกฤษจากฝรั่งเศสที่แผลงมาจากคำว่า “tulipe” และจากคำโบราณว่า “tulipan” หรือจากภาษาลาตินสมัยใหม่ “tulīpa” ที่มาจากภาษาตุรกี “tülbend” หรือ “ผ้ามัสลิน” (ภาษาอังกฤษว่า “turban” (ผ้าโพกหัว) บันทึกเป็นครั้งแรกในภาษาอังกฤษในคริสต์ศตวรรษที่ 16 และอาจจะมาจากภาษาตุรกีอีกคำหนึ่งว่า “tülbend” ก็เป็นได้)

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2552

ดอก ฟอร์เก็ต มี น็อต


สำหรับต้นฟอร์เก็ต มี น็อต นั้น มีลำต้นที่แข็ง สูงประมาณ 0.5-1 เมตร มีกิ่งก้านแตกแขนงรอบลำต้น ใบเล็กเรียวปลายโค้งมน มีขนอ่อนปกคลุมทั้งสองด้าน ออกดอกเป็นช่อ ๆ หนึ่งยาวประมาณ 20- 30 ซม. มีลักษณะเป็นดอกไม้ สีฟ้า 5 แฉก ขนาดเล็กโดยจะออกดอกตามปลายยอดส่วนโคน กลีบจะเชื่อมติดกันเป็นหลอดสั้น ๆ
มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ ว่า Cynoglossum Lanceola tum Forssk อยู่ในตระกูล BORAGINACEAE ซึ่งทางโครงการฯ นำเข้ามาจากประเทศแคนาดา อายุการเพาะเมล็ด จากวันเพาะถึงวันงอกประมาณ 7 วัน จากนั้นจะย้ายลงถาดหลุม เพื่อเลี้ยงให้เจริญเติบโต โดยมีการคัดรุ่นที่โตไล่เลี่ยกันไปเลี้ยงต่ออีก 23 วัน ต่อจากนั้น จะนำไปลงเลี้ยงในถุงเพาะ ซึ่งเรียกช่วงนี้ว่า เป็นการขุนไม้รุ่น ให้เจริญเติบโตและอุดมสมบูรณ์เพื่อจะได้ดอกที่สมบูรณ์อีกประมาณ 40-45 วัน
จากนั้น ต้นฟอร์เก็ต มีน็อตจะเริ่มออกดอก รวมอายุตั้งแต่งอกจนกระทั่งออกดอกประมาณ 70-80 วัน ซึ่งตรงนี้ขึ้นอยู่กับฤดูกาลที่จะผลิตด้วย เนื่องจากความร้อนกับความหนาวมีผลต่อกับการบานของ ดอกให้เร็วหรือช้าได้ โดยถ้าอากาศร้อนดอกจะบานเร็วขึ้น และโรยเร็ว อายุการใช้งานสั้น แต่ถ้าอากาศเย็นจะใช้ระยะเวลาในการบานนานและอยู่ได้นาน กว่าจะโรย ซึ่งอาจจะบานช้ากว่าปกติเล็กน้อยแต่ได้สีสันสดใสและดอกที่สมบูรณ์กว่า คือ ดอกจะช่อชูตั้งไม่บิด ไม่คดงอ เพราะบางครั้งได้รับแสงน้อยเกินไปลำต้นจะเอียงไปหาแสง ทำให้ต้นไม่ตรง มีการคดงอ รวมทั้งลักษณะใบจะซีดเหี่ยวไม่สดใส
"ดินที่ใช้ปลูกจะเป็น ดินที่มีอินทรียวัตถุ ระบายน้ำดี เพราะถ้าดินระบายน้ำได้ไม่ดีต้นจะเน่า จึงต้องเป็นดินร่วนที่มีลักษณะชื้นแต่ไม่แฉะ รดน้ำวันละครั้งแต่ต้องดูสภาพดินด้วย ถ้าดินผสมอุ้มความชื้นไว้น้อยจำต้องคอยหมั่นตรวจดู เพราะช่วงที่ออกดอกบานเป็นช่วงที่ใช้น้ำมากเพื่อให้มีความชื้นสูง ถ้าความชื้นไม่พออาจต้องรดน้ำเพิ่มเป็น 2 ครั้งต่อวัน
ฟอร์เก็ต มี น็อต เป็นพืชเมืองหนาว โดยปกติจะปลูกบนที่สูงยิ่งอุณหภูมิต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียส จะออกดอกสวยงาม ซึ่งจะรดน้ำวันละครั้ง ช่วง 6-7 โมงเช้า แต่ถ้า นำมาปลูกที่ในเขตพื้นที่ร้อน อย่างกรุงเทพฯ จะต้องรดน้ำวันละ 2 ครั้ง เพราะอากาศร้อนและมีการคายน้ำมาก ถ้าความชื้นไม่พอต้นจะเหี่ยว การรดน้ำต้องรดตอนเช้าช่วงที่แดดอ่อน ๆ เพราะถ้ารดตอนที่แดดแรงจะไม่เป็นผลดีกับต้นไม้ และอีกครั้งในตอนเย็นประมาณ 4-5 โมงเย็น" ส่วนการใส่ปุ๋ย ในการเลี้ยงปกติช่วงแรกจะเป็นปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูง ต่อมาในช่วงระยะการเจริญเติบโตจะให้ปุ๋ยสูตรเสมอจนกระทั่งเริ่มออกดอกหรือว่าเมื่อใกล้จะออกดอกจะให้ ปุ๋ยสูตรตัวกลางกับตัวหลังสูง ทั้งนี้ต้องดูว่าเลี้ยงในแบบสภาพอากาศใด ซึ่งการใส่นั้นสามารถปรับเปลี่ยนได้ขึ้นอยู่กับสภาพที่ปลูกในขณะนั้น สิ่งที่ต้องระมัดระวัง จะอยู่ในส่วนของอากาศหรือ ลม ถ้าระบายไม่ดีเท่าที่ควรหรืออากาศนิ่งมีความชื้นสูงและมีความร้อนเข้ามาจะทำให้เกิดการเจริญเติบโตของเชื้อโรค เชื้อราต่าง ๆ ประกอบกับถ้าต้นไม้มีใบที่เป็นโรคอยู่หรือใบมีตำหนิ อ่อนแออยู่แล้วเชื้อโรคจะเข้าไปทำลายจุดที่เป็นแผลหรือจุดที่อ่อนแอของต้นได้ อีกอย่างหนึ่ง คือ โรคเน่า คือ ถ้าการระบายน้ำไม่ดี รวมทั้ง อากาศร้อนและมีความชื้นสูงก็อาจเกิดโรคเน่าได้เช่นกัน ต้องหมั่นตรวจดูเป็นระยะ ๆ ส่วนแมลงไม่มีผลต่อการเจริญเติบโตนัก เพราะมีการฉีดยาป้องกันตามช่วงอายุของการเจริญเติบโต ซึ่งอาจจะมีเพลี้ยบ้างเล็กน้อย หากต้องเลี้ยงในสภาพที่ไม่เหมาะสม สิ่งที่แน่นอน คือ อายุจะสั้น ดอกโรยเร็ว แต่ถ้าต้องการหรือมีความจำเป็นในการนำมาปลูกในพื้นที่ร้อน จำต้องมีการเตรียมตัว ประการแรก คือ จะต้องให้แสงที่เพียงพอ ให้ทุกส่วนของต้นไม้ได้รับแสงเพื่อให้ทุกชิ้นส่วนของเนื้อเยื่อมีความแข็งแกร่งมากที่สุด โดยมีการใช้ฮอร์โมนหรือปุ๋ยช่วยเพิ่มหรือสร้างเนื้อเยื่อให้มีความแข็งแรง ทนทาน นั่นคือ เลี้ยงให้แข็งแกร่ง ไม่ให้งามมากจนเกินไป เพราะถ้าเลี้ยงงามมากจนเกินไปจะมีไนโตรเจนสูง ถ้าต้องเจอกับอากาศที่ร้อนมากจะซีด เหี่ยว และอาจจะไม่สามารถเจริญเติบโตต่อไปได้ โดยปกติดอกฟอร์เก็ต มี น็อต จะบานอยู่ได้ในอากาศเย็นประมาณ 1 เดือน ถึงเดือนครึ่ง แต่ถ้าอากาศร้อนจะอยู่ได้ประมาณ 15 วัน ก็จะเริ่มโรย เมื่อโรยจะเริ่มแทงแขนงข้าง ๆ ออกมา ใครอยากเลี้ยงต่อก็สามารถเลี้ยงได้แต่ต้นและดอกอาจไม่สวยเหมือนครั้งแรกที่ทำการปลูก สำหรับการเลี้ยงบนดอยโครงการหลวง เป็นการเลี้ยง ให้คนมาชมความงาม ต้นไม้และดอกไม้จะต้องเลี้ยงให้ทรงต้นและดอกมีความสวยงามให้ผลที่สมบูรณ์เกือบร้อยเปอร์ เซ็นต์ หรือร้อยเปอร์ เซ็นต์ จึงต้องถอดทิ้งจากนั้นจะนำต้นอ่อนใหม่มาปลูกแทน เพราะถ้าเลี้ยงต่อไปมีแขนงข้างมาก ๆ ทรงต้นจะไม่สวย การเพาะเมล็ดขึ้นมาใหม่ เพื่อทดแทนกันนั้น วิธีง่าย ๆ ให้ทิ้งระยะประมาณ 1 เดือน เมื่ออายุการใช้งานของต้นรุ่นแรกหมดลง รุ่นต่อมาจะเข้ามาแทนพร้อมที่จะออกดอกได้พอดี โดยจะต้องมีการวาง โปรแกรม วางตารางการเพาะ ซึ่งแต่ละฤดูกาล การเพาะหรือว่าระยะเวลาในการงอกจะแตกต่างกันไป ตรงนี้ต้องอาศัยสถิติและค่าเฉลี่ยอุณหภูมิของฤดูกาลเข้ามาช่วยด้วย "ฟอร์เก็ต มี น็อต หากมองในระยะไกลหรือมองผ่าน ๆ ต้นจะละเอียดเกินไป ยิ่งถ้ารวมกลุ่มเรียงกันไปจะละเอียด เป็นฝอย ไม่สวย แต่ถ้ามองใกล้ ๆ แล้วพิจารณาแต่ละดอกจะเห็นว่าทุกดอกที่บาน ออกมาจะบานเต็มที่และให้สีฟ้าที่เป็นสีฟ้าจริง ๆ ดูแล้วสบายตา สบายใจ มีความละเอียดอ่อนในแต่ละช่อดอก" ประวิทย์ บอกถึงความงามให้ฟัง

วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Blog คืออะไร

Blog ก็คือการบันทึกบทความของตนเอง (Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์ โดยเนื้อหาของ blog นั้นจะครอบคลุมได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวส่วนตัว หรือเป็นบทความเฉพาะด้านต่าง ๆ เช่น เรื่องการเมือง เรื่องกล้องถ่ายรูป เรื่องกีฬา เรื่องธุรกิจ เป็นต้น โดยจุดเด่นที่ทำให้บล็อกเป็นที่นิยมก็คือ ผู้เขียนบล็อก จะมีการแสดงความคิดเห็นของตนเอง ใส่ลงไปในบทความนั้น ๆ โดยบล็อกบางแห่ง จะมีอิทธิพลในการโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านสูงมาก แต่ในขณะเดียวกัน บางบล็อกก็จะเขียนขึ้นมาเพื่อให้อ่านกันในกลุ่มเฉพาะ เช่นกลุ่มเพื่อน ๆ หรือครอบครัวตนเอง

Blog กับ Website แตกต่างกันอย่างไร?

Blog แตกต่างจากเว็บไซต์อย่างไร?
ในเบื้องต้น Blog จะแตกต่างจากเว็บไซต์แบบ Static ตรงที่ Blog จะมีเรื่องให้น่าติดตาม ไม่ว่าจะเป็นบทความใหม่ ๆ ที่มีให้อ่านมากกว่า มีพื้นที่ให้ผู้อ่านได้โต้ตอบได้ จนกระทั่งมีผู้กล่าวไว้ว่า Blog จะมาแทนที่เว็บไซต์นิ่ง ๆ ที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนโบรชัวร์ออนไลน์
สำหรับประเด็นที่ทำให้ Blog แตกต่างจากเว็บไซต์ทั่วไป มีดังนี้
1.มีการโต้ตอบกันระหว่างผู้เขียนและผู้อ่านได้ หรือที่เราเรียกว่า Interactive นั่นเอง
2.บทความใน Blog จะเขียนในรูปแบบที่เป็นกันเอง และดูเหมือนการสนทนา มากกว่าในเว็บไซต์ เช่น ลองอ่านบทความนี้ดูมันจะเหมือนว่าฉันกำลังคุยกับคุณอยู่ ใช่ไหมคะ นี่คือที่เราเรียกว่ามีความเป็นกันเอง และดูเหมือนการสนทนากันอยู่ไงค่ะ
3.ระบบที่ใช้เขียน Blog นั้นง่าย ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเซียนคอมพิวเตอร์ ก็สามารถเขียน Blog ได้
4.อัพเดทได้บ่อยมาก และยิ่งอัพเดทบ่อย จะยิ่งดีต่อการมาเก็บข้อมูลของ Search Engine นะค่ะ นั่นจะทำให้ตำแหน่งผลการค้นหาของเราใน Search Engine นั้นสูงตามไปด้วย
5.Blog เป็นรูปแบบหนึ่งของการทำการตลาดแบบไวรัส (Viral Marketing)

ประโยชน์ของ Web blog

Blog มีไว้เพื่อตอบสนองตัณหาของเจ้าของ blog ถึงแม้ว่า blog จะมีลักษณะหน้าตาคล้ายกัน แต่ blog แต่ละแห่งจะมีบุคลิกเฉพาะตัว แตกต่างกันไปเหมือนบุคลิก บาง blog แค่เล่าเรื่องชีวิตประจำวัน บาง blog เกาะติดข่าว บาง blog คุยเรื่องการเมืองหรือปรัชญา จงนั้นอาจแบ่งประโยชน์ได้หลายแบบด้วยกัน ซึ่งอาจจะแจกแจงได้ดังนี้
1.เปิดตัวเองให้โลกรู้ เรื่องของ blog มักเป็นเรื่องราวของเจ้าของ blog เป็นการเล่าประสบการณ์หรือความคิดของเจ้าของ เป็นการถ่ายทอดความคิดความรู้สึกของเจ้าของ blog เป็นการระบายความเคลียดอีกทางหนึ่ง
2.ทันข่าวทันเหตุการณ์ ประสบการณ์บางคนก็เป็นข่าวเห็นอีกหลายคนได้ ข่าวจาก blog หลายแห่งเป็นข่าววงใน บางคนเล่าเหตุการณ์หรืออุบัติเหตุที่เจอมา หลาย blog พูดถึงแนวโน้มหรือความเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ
3. กลั่นกรองข้อมูล blog บาง blog จะมีการกลั่นกรองข้อมูลก่อนนำลง blog ทำให้ผู้อ่าน blog ไม่ต้องเสียเวลาในการกลั่นกรองข้อมูล เพราะมีการนำเสนอข้อมูลหรือมีไกด์ในการท่องเว็บ
4. รายงานการท่องเว็บ เป็นวัตถุประสงค์หลักที่เป็นต้นกำเนิดของการทำ blog หลาย blog มีการลิงก์ไปยังเว็บที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาใน blog ซึ่งเป็นการแนะนำว่าเว็บไหนดีก็ไปที่เว็บนั้น
5. การแสดงความคิดเห็น ไม่ว่าจะเป็นความในใจของเรื่องต่างๆ ความคิดเชิงสร้างสรรค์ หรือการบ่นที่ทุกคนมีอยู่ในใจ การทำ blog เป็นช่องทางถ่ายทอดความคิดเห็นให้คนอื่นรับรู้
6. ถ่ายทอดประสบการณ์ หรือไดอะรี่ออนไลน์ เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวในชีวิตประจำวัน หรือเป็นการเล่าเรื่องการเดินทางท่องเที่ยว เช่น
www.terrystrek.com
7. โน้มน้าวใจผู้อ่าน ลักษณะนี้เป็นการโฆษณาชวนเชื่อ แต่กรณีแบบนี้เป็นการขายความคิด อย่าง blog สำหรับคอการเมืองอาจจะมีฝ่ายซ้าย - ฝ่ายขวา,สายเหยี่ยว ­- สายพิราบ จะพบว่าเนื้อหาจะเป็นการโพสต์โจมตีฝ่ายตรงข้าม แล้วก็สนับสนุนแนวความคิดของตนเอง

ตัวอย่าง Blog